วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

english proverbs

1. An accident  is due to lack of proper care. =  อุบัติเหตุมักจะเกิดขึ้นจากการขาดความระมัดระวัง
2. Don’t charge your memory with  too many facts = อย่าใช้สมองจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ให้มากจนเกินไป
3. A   mad  man is not responsible  for his actions. =  คนบ้าไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำของเขา
4. It’s a sad house where the hen crows louder than the cock. =  สามีเป็นช้างเท้าหน้า  ภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง
5. Marriage is an expensive luxury. = การแต่งงานเป็นของฟุ่มเฟือยที่แสนแพง
6. Fools build house; wise men buy them. = คนโง่สร้างบ้านอยู่  คนฉลาดซื้อบ้านสร้างเสร็จอยู่
7. Keep  something for a rainy day. = กินน้ำเผื่อแล้ว
8. There is no fool like an old fool. =ไม่มีใครโง่เกินคนแก่โง่
9. Kill not the goose that lays the golden eggs. = โลภมากลาภหาย.
10. Facts are stubborn things.    =  ความจริงล้างอย่างไรก็ไม่เลือนหาย
11. It  is a foolish sheep  that makes.   The wolf  his confessor. =   อย่าชี้โพรงให้กระรอก
12. Brave actiuons never want trumpet. = การกระทำอันกล้าหาญ  ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้
13. Good manners are part and parcel of a good education. = กิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อย  เป็นส่วนสำคัญจากการได้รับการศึกษาดี
14. A bad workman always blames his tool. = รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง
15. Habituate yourself to hard work. = จงฝึกฝนตัวเองให้เคยชินกับงานหนัก
16. Fine features make fine birds. = ไก่งามเพราะขน  คนงามเพราะแต่ง
17. Man has gregarious habits. = มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นหมู่คณะ
18. Big fish eat little fish. = ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
19. Guardianship has many responsibillitie. = การเป็นผู้ปกครองนั้นต้องมีความรับผิดชอบมาก
20. A friend in need is a friend indeed = เพื่อนแท้คือเพื่อนในยามยาก
21. Birds of a feather flock together = คบคนพาล พาลพาไปหาผิด
22. Actions speak louder than words =  ทำดีกว่าพูด
23. A bird in head is worth two in the bush = สิบเบี้ยใกล้มือ
24. A rolling stone gathers no moss =  รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
25. Absence makes the heart grow fonder =  ตัวไกลใจอยู่ยิ่งไกลก็ยิ่งรักกัน
26. Make hay while the sun shines =  น้ำขึ้นให้รีบตัก
27. He laughs best who laughs last =  หัวเราะทีหลังดังกว่า
28. Listeners hear no good of themselves = นินทากาเลเหมือนเทน้ำ
29. It is never too late to mend =  ไม่มีอะไรสายสำหรับการเริ่มต้น
30. Still water runs deep = น้ำนิ่งไหลลึก
31. Good cloths open all doors. = ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
32. Overtly agree but coertly oppose = ปากว่าตาขยิบ หรือพูดอีกอย่างแต่ทำอีกอย่าง
33.  Cry for the Moon = กระต่ายหมายจันทร์ หมายถึงหนุ่มหมายปองสาวที่มีฐานะดีกว่า
34.  Apple of sodom =สวยแต่รูป จูบไม่หอม  งามภายนอกแต่ใจแย่ไง
35. When misfortune reaches the limit, good fortune is at hand = ต้นร้ายปลายดี 
เริ่มต้นไม่ดีแต่ไปดีเอาตอนหลัง
36. Between the devil and the deep blue sea = หนีเสือปะจรเข้
37. Be caught red-handed = จับได้คาหนังคาเขา
38. To take for a needle in a haystack = งมเข็มในมหาสมุทร
39. To eat one's cake and have it too = จับปลาสองมือ
40. To take something with a pinch of salt = ฟังหูไว้หู  ฟังแล้วคิดพิจารณาก่อนจะเชื่อ
41. As you sow, so you reap = ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
42. Cannot make head or tail of = จับต้นชนปลายไม่ถูก
43. You can not teach old dogs new tricks. = เราไม่สามารถสอนกลเม็ดใหม่ๆ ให้สุนัขแก่ได้....
หรือ ไม้แก่ดัดยากนั่นเอง...
44. Where there is a will, there is a way = ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
45. Look before you leap  = จงดูให้ดีก่อนื้จะกระโดด หมายถึง คิดให้ดี รอบคอบก่อนที่จะทำอะไร
46. Prevention is better than cure = กันไว้ดีกว่าแก้
47. Do as Romans do when you are in Rome = จงทำตัวให้เหมือนคนโรมันเมื่ออยู่ในกรุงโรม....
หรือ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
48. Joy and sorrow are as near as today and tomorrow. = ความสุขกับความทุกข์อยู่ใกล้กันเหมือนวันนี้กับวันพรุ่งนี้
49. He who has never tasted bitterness does not know what is sweet = ผู้ที่ไม่เคยรับรู้รสของความขมขื่น
จะไม่รู้ว่าความหวานชื่นคืออะไร
50. One who lives in a glasshouse should not throw stones. = เมื่ออยู่ในเรือนกระจกไม่ควรขว้างก้อนหิน
หมายถึงเมื่ออยู่ในที่ๆ เสีบเปรียบก็อย่าหาเรื่องผู้อื่น
51."Time and tide wait for no man" = เวลาและกระแสน้ำไม่เคยคอยใคร
52. Everyone thinks his own burden the heaviest. =  ทุกคนมักคิดว่าภาระของตนหนักกว่าของผู้อื่นเสมอ
53. No one is too old to learn = ไม่มีใครแก่เกินเรียน
54. Reading makes a full man. = การอ่านหนังสือทำให้เป็นคนที่สมบูรณ์
55. All men naturally desire to know. = มนุษย์ทุกคนย่อมอยากรู้โดยธรรมชาติ
56. Be quick to hear and slow to speak.= ฟังให้เร็ว แต่พูดให้ช้า
57. Live to learn to live. = จงอยู่เพื่อเรียนรู้การดำรงชีวิต
58. Brave actions never want trumpet. = การกระทำอันกล้าหาญ ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ
59. Words once spoken cannot be altered. = คำพูดที่กล่าวไปแล้ว ย่อมไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้
60. Though strength fails, boldness is praiseworthy. = ถึงแม้ว่ากระทำสิ่งใดยังไม่เป็นผลสำเร็จ
แต่การที่ได้กล้าทำนั้นควรได้รับการยกย่อง
61. No one is harmed by thinking. =การไตร่ตรองยั้งคิด ไม่เคยทำอันตรายใคร
62. Order will render the work facile. = ความมีระเบียบวินัย เป็นสิ่งที่ทำให้การทำงานราบรื่นขึ้น
63. Every obstacle is surmountable. = อุปสรรคทุกอย่าง ย่อมผ่านพ้นไปได้เสมอ
64. Health is wealth. = ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
65.What can't be cured must be endured. =เมื่อสิ่งใดหมดทางที่จะแก้ไขได้แล้ว ก็ต้องยอมรับและทนในสิ่งนั้น
66. Peace begins where ambition ends. =ความสงบจะเริ่มขึ้น ณ ที่ซึ่งความเห่อเหิม ทะเยอทะยานได้สิ้นสุดลงแล้ว
67. Trial and error is  the source of our knowledge. =เมื่อได้ทดลองทำสิ่งใดๆ แล้วผิดพลาด
นั่นคือข้อมูลแห่งความรู้ของเราเอง
68. Happyness belong to the contented. =บุคคลจะมีความสุขหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความพอใจ
69.Don't shrink any task because of its arduousness. =อย่าละทิ้งงานใดๆ เพียงเห็นว่างานนั้นยาก
70.The tongue is like a sharp knife; it kills without drawing blood.= ลิ้นเหมือนมีดคม สามารถฆ่าได้โดยไม่มีเลือดตก

parts of speech























1. คำนาม (Noun) เป็นคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ หรือสภาวะต่างๆ เพื่อใช้เป็นประธานหรือกรรมในประโยค
คน เช่น man , woman , boy , girl , etc...
สัตว์ เช่น dog , cat , bird , duck , etc...

สิ่งของ เช่น house , temple, school, table , book , etc...
สภาวะต่างๆ เช่น goodness, happiness, sadness, cheerfulness , etc...

2. สรรพนาม (Pronoun) เป็นคำที่ใช้แทนชื่อคำนามที่ผู้พูดเอ่ยถึงมาแล้วข้างต้นเพื่อมิให้เป็นการซ้ำซาก และเป็นคำแทนชื่อของผู้พูด และผู้สนทนาด้วย
เช่น ผม คุณ ท่านมัน เขา เธอ เป็นต้น ใช้เป็นประธานและกรรมในประโยค
He = เขา   I = ฉัน, ผม   They = พวกเขา
She = เธอ, หล่อน   ัYou = คุณ, พวกคุณ    
It = มัน (สิ่งของ), สัตว์   We = พวกผม, พวกเรา   
         

3. คุณศัพท์/คุณนาม (Adjective) เป็นคำที่ใช้ขยายนาม และสรรพนาม ให้ได้ใจความที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
He has a blue car. : เขามีรถสน้ำเงินหนึ่งคัน
The thin boy is coming. : เด็กผู้ชายผอมกำลังมา

4. กริยา (Verb) เป็นคำที่ใช้แสดงการกระทำของนาม หรือสรรพนาม เช่น
That boy smiles. : เด็กผู้ชายคนนั้นยิ้ม

5. บุพบท (Preposition) เป็นคำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม , คำนามกับสรรพนาม หรือคำนามกับกริยา ฯลฯ
A cat is on the tree. : แมวตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้
He will go with me. : เขาจะไปกับฉัน

6. กริยาวิเศษณ์ (Adverb) เป็นคำที่ใช้สำหรับขยายกริยาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
He walks very carefully. : เขาเดินอย่างระมัดระวัง
They work slowly. : พวกเขาทำงานช้า

7. คำสันธาน (Conjunction) เป็นคำที่ทำหน้าที่เชื่อมประโยคกับประโยค หรือ คำกับคำเข้าด้วยกัน เช่น
He and I are friends. : เขากับฉันเป็นเพื่อนกัน
He was eat , when I came here. : เขากินข้าวเสร็จแล้วเมื่อฉันมาถึง

8. คำอุทาน (Interjection) เป็นคำเปล่งเสียงออกมาลอยๆ เพื่อแสดงความรู้สึกต่างๆ เช่น ดีใจ เสียใจ ตกใจ
Oh! , Wow! , Yeah, etc...
Oh my god! I forgot it. : ตายจริง! (พระเจ้าช่วย!) ฉันลืมมันไปเลย
Op! I did it again. : อุ๊บ! ฉันทำมันอีกแล้ว
ตัวอย่าง รูปแบบประโยคและการแยกชนิดของคำ
เขาเป็นเด็กดี เพราะ เขาไปโรงเรียนทุกวัน
He is a good boy , because he goes to school everyday.
He = สรรพนาม   goes = กริยา   day = นาม 
is = กริยา   to = บุพบท    
good = คุณศัพท์   school = นาม    
because = สันธาน   every = คุณศัพท์    

 

exercise

Fill in the blanks with words of the appropriate part of speech.

Fill in the blanks with words of the appropriate part of speech.

Quiz

  

 

introduction

 

Miss. Wilaiporn  Metta

English Program 

ID 533410020135